สรุปปม จุดเริ่มต้นการประท้วงสู่ความรุนแรง
การเหยียดชนชั้น เชื้อชาติ และสีผิว ยังมีเป็นปัญหาอยู่ทุกที่ทุกประเทศ ถึงแม้ว่าจะผ่านไปนานแค่ไหนแต่ปัญหาที่ว่าก็ดูเหมือนจะฝังลึกไปที่ใจของคน มีหลายฝ่ายพยายามมองข้าม พยายามรณรงณ์เพื่อไม่ให้เกิดความรุนแรง แต่คนผิวขาวก็ยังเหยียดคนผิวสี คนยุโรปก็ยังเหยียดคนเอเชีย ยิ่งในปัจจุบันเอาแค่เรื่องรูปร่างหน้าตาก็เอามาเป็นประเด็นกันได้แล้ว ความรุนแรงจากปัญหาเหล่านี้มีให้เห็นเสมอ ฝ่ายถูกกระทำต้องโดนกระทำอยู่ตลอด จากยอมเป็นเคียดแค้น และยิ่งเป็นการกระทำจากเจ้าหน้าที่ตำรวจผิวขาว - ผู้ต้องสงสัยผิวดำ เกินเลยจนมีผู้เสียชีวิต ทำให้ผู้คนต่างลุกฮือ จนบานปลายเป็นการจลาจรทั่วสหรัฐอเมริกา
จุดเริ่มต้น
- วันที่ 25 พ.ค.2563 ตำรวจในเมืองมินนิแอโพลิส รัฐมินนิโซตา สหรัฐอเมริกา ได้รับแจ้งเหตุฉุกเฉินจากเจ้าของร้านค้าแห่งหนึ่งบนถนนชิคาโก ระบุว่าชายคนหนึ่งซื้อบุหรี่ด้วยธนบัตรปลอม และมีท่าทางมึนเมา ทั้งยังเป็นชายร่างสูงใหญ่เกือบ 2 เมตร
- ผู้ต้องสงสัยคือ จอร์จ ฟลอยด์ ชาวอเมริกันผิวสี วัย 46 ปี บทบันทึกการสนทนาทางโทรศัพท์ระหว่างผู้แจ้งเหตุกับเจ้าหน้าที่ตำรวจซึ่งรับเรื่อง ถูกนำมาเผยแผร่ผ่านสื่อภายหลัง บ่งชี้ว่า เจ้าหน้าที่ถามถึงผู้ต้องสงสัยว่าเป็นคนเชื้อชาติไหน ผิวขาว ผิวดำ ฮิสปานิก ชนพื้นเมือง หรือเอเชีย และผู้แจ้งเหตุตอบว่า เป็นคนผิวดำ
- ณ ที่เกิดเหตุ ฟลอยด์นั่งอยู่ในรถส่วนตัวที่จอดอยู่บริเวณร้านดังกล่าว ตำรวจ 4 นาย สั่งให้ฟลอยด์ลงจากรถพร้อมใส่กุญแจมือและพาไปยังรถตำรวจซึ่งจอดอยู่อีกฝั่ง แม้ฟลอยด์จะไม่พอใจ แต่ก็ไม่มีท่าทีขัดขืน
- เมื่อมาถึงอีกฝั่งของรถตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็กดฟลอยด์นอนคว่ำหน้าลงกับพื้น ก่อนที่ เดเร็ค เชาวิน ตำรวจผิวขาวจะใช้เข่ากดเข้าหลังคอ โดยทิ้งน้ำหนักทั้งตัวทับจนหน้าซีกหนึ่งของฟลอยด์แนบกับพื้น เดเร็คทำเช่นนั้นเป็นเวลานานกว่า 8 นาที ขณะที่ฟลอยด์ทุรนทุราย ร้องบอก “I can’t breath”(ผมหายใจไม่ออก) และขอให้ปล่อยเขาถึง 15 ครั้ง แม้คนที่เห็นเหตุการณ์จะบอกให้ตำรวจหยุด แต่ก็ไร้ผล จนในที่สุดฟลอยด์ก็หมดสติ ถูกหามส่งโรงพยาบาล แต่ก็สายไปเสียแล้ว ฟลอยด์เสียชีวิตที่โรงพยาบาล
เรียกร้องความเป็นธรรม
- 26 พ.ค.2563 แถลงการณ์ของสำนักงานตำรวจมินนิแอโพลิส ระบุว่า ฟลอยด์ขัดขืนเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้เจ้าหน้าที่ 2 นายต้องใส่กุญแจมือเพื่อควบคุมตัว เนื่องจากได้รับแจ้งเหตุเกี่ยวกับคดีฉ้อโกง พร้อมทั้งย้ำว่าจะไต่สวนข้อเท็จจริงของเหตุการณ์ดังกล่าว
- มีการเผยแพร่วิดีโอพร้อมติดแฮชแท็กเรียกร้องความเป็นธรรมให้ฟลอยด์ #JusticeforFloyd พร้อมระบุว่า ข้อหาที่มีต่อฟลอยด์ไม่ได้มีบทลงโทษถึงตาย แต่เขาตายไปก่อนตั้งแต่ถูกจับกุม ส่วนวิดีโอดังกล่าวเป็นภาพบันทึกเหตุการณ์ขณะฟลอยด์ถูกคุมตัว บ่งชี้ว่าฟลอยด์ไม่มีอาวุธ และไม่ได้ขัดขืนการจับกุมของเจ้าหน้าที่ ผู้ที่อยู่ในเหตุการณ์พยายามบอกให้ตำรวจปล่อยตัวฟลอยด์ เพราะเห็นว่าเขาหายใจไม่ออก และฟลอยด์เองก็ร้องตะโกนขอให้ตำรวจปล่อยตัว แต่ตำรวจปฏิเสธจนกระทั่งฟลอยด์หมดสติ เกิดคำถามว่า ถ้าฟลอยด์ไม่ใช่คนผิวสีจะถูกกระทำแบบนี้หรือไม่? ทำให้ไฟแค้นปมเหยียดสีผิวเริ่มปะทุ
- เมื่อหลักฐานปรากฎชัด ตำรวจทั้ง 4 นาย ถูกไล่ออกจากงานทั้งหมด และถูกฟ้องร้องข้อหาฆาตกรรม ทว่าเหล่าอดีตตำรวจต้องการสู้คดีเพื่อพิสูจน์ว่า ฟลอยด์ตายเนื่องจากการกระทำของพวกเขา หรือว่าจริงๆ ฟลอยด์กำลังจะเสียชีวิตด้วยสาเหตุอื่นอยู่แล้ว
- จากเรื่องดังกล่าว ทำให้ชาวอเมริกันผิวสีทั่วทั้งสหรัฐลุกฮือประท้วง โดยหยิบยกวลีสุดสลดอย่าง I can’t breath (ผมหายใจไม่ออก) ที่ทั้งฟรอยด์ และ การ์เนอร์ พูดก่อนตายเป็นประโยคของการประท้วงครั้งนี้ (เอริค การ์เนอร์ คือชายชาวอเมริกันผิวสีถูกจับกุมด้วยการล็อกคอ โดยตำรวจผิวขาวรายหนึ่งในปี 2014 ซึ่งขณะถูกจับกุม เขาร้องบอกว่า “I can’t breath”(ผมหายใจไม่ออก) ถึง 11 ครั้ง ก่อนจะขาดอากาศหายใจเสียชีวิตในที่สุด
ความรุนแรง
- 27 พ.ค.2563 การประท้วงยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง เพราะผู้ประท้วงเรียกร้องให้ดำเนินคดีกับตำรวจที่เกี่ยวข้องกับการเสียชีวิตของฟลอยด์ โดยกลุ่มรณรงค์ด้านสิทธิมนุษยชนมองว่าการปฏิบัติต่อฟลอยด์เป็นการใช้อำนาจเกินกว่าเหตุ ทำให้ผู้ประท้วงและเจ้าหน้าที่ตำรวจเผชิญหน้ากันในย่านออโตโซน ไม่ไกลจากสถานีตำรวจเขต 3 มินนิแอโพลิสมีชายคนหนึ่งถูกตำรวจยิงเสียชีวิต แต่ไม่อาจระบุได้ว่าเป็นผู้ก่อเหตุจลาจลหรือเป็นผู้ประท้วงที่ไม่ได้ใช้ความรุนแรง
- คนดังในวงการบันเทิง ทั้งดาราฮอลลีวูด นักร้อง และจากหลายวงการ ต่างออกมาไว้อาลัยผู้เสียชีวิต พร้อมประณามการกระทำของตำรวจ และเรียกร้องให้ดำเนินการขั้นเด็ดขาด โดยที่ เลอบรอน เจมส์ โพสต์ภาพ เคเปอร์นิคคุกเข่า และภาพฟลอยด์ที่ถูกตำรวจใช้เข่ากดคอไว้ พร้อมเขียนข้อความบนภาพว่า This is Why ซึ่งแปลว่า นี่คือเหตุผลที่เคเปอร์นิคคุกเข่า ทั้งยังระบุแคปชั่นว่า “พวกคุณเข้าใจหรือยังล่ะตอนนี้ หรือว่านี่ยังไม่ชัดพออีก #ตื่นได้แล้ว Snoop Dog แร็ปเปอร์ชาวผิวสีชื่อดังก็ลงรูปเดียวกันบนอินสตาแกรมพร้อมข้อความแปลเป็นไทยว่า “ไม่มีความยุติธรรม เฉพาะกับพวกเรา
- 28 พฤษภาคม ทิม วอลซ์ ผู้ว่าการรัฐมินนิโซตา ประกาศบังคับใช้กองกำลังพิทักษ์ชาติ (National Guard) หลายพันนาย ให้เดินทางไปยังเมืองมินนิแอโพลิส เพื่อปราบปรามผู้ประท้วง หลังเกิดเหตุรุนแรง
- ผู้สื่อข่าว โปรดิวเซอร์ และช่างภาพข่าวของสำนักข่าว CNN ถูกเจ้าหน้าที่ทหารของกองกำลังพิทักษ์มาตุภูมิจับกุมขณะกำลังปฏิบัติหน้าที่ แม้ว่าโอมาร์ ชิเมเนซ ผู้สื่อข่าว จะยืนยันตัวตนกับเจ้าหน้าที่และแจ้งว่าพวกเขาพร้อมจะออกไปจากที่เกิดเหตุก็ไม่เป็นผล ทั้งหมดถูกจับกุมและนำตัวไปที่สถานีตำรวจ และมีผู้วิจารณ์ว่าเป็นการละเมิดสิทธิและเสรีภาพในการปฏิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชน
- โดนัลด์ ทรัมป์ ประธานาธิบดีสหรัฐฯ ทวีตข้อความประณามการก่อจลาจล โดยเรียกผู้ก่อเหตุว่า 'พวกอันธพาล' พร้อมระบุว่า กองทัพพร้อมเคียงข้างเจ้าหน้าที่รัฐในการปราบปรามผู้ก่อจลาจล พร้อมทั้งระบุว่า "เมื่อคนเริ่มปล้น (ตำรวจ) ก็ต้องเริ่มยิงเช่นกัน" ทำให้ทวิตเตอร์ติดป้ายเตือนผู้ที่ติดตามทรัมป์ในสื่อสังคมออนไลน์แห่งนี้ โดยระบุว่า ข้อความดังกล่าวมีเนื้อหา 'ยั่วยุให้เกิดความรุนแรง'
- 29 พ.ค.2563 นอกจากที่มินนิแอโพลิส การประท้วงต่อต้านการใช้กำลังและเลือกปฏิบัติต่อคนผิวดำได้แผ่ขยายไปยังพื้นที่อื่นๆ ทั่วสหรัฐฯ เช่น เดนเวอร์, เมมฟิส, โคลัมบัส, ฟีนิกซ์, พอร์ตแลนด์, แอลบูเคอร์กี, ลอสแอนเจลิส และนิวยอร์ก ซึ่งการชุมนุมในหลายพื้นที่ดำเนินไปอย่างสงบ แต่บางพื้นที่ทวีความรุนแรงจนกลายเป็นการก่อจลาจล มีเหล่ามิจฉาชีพฉวยโอกาสก่อเหตุจราจลปล้นร้านค้า เผาอาคารบ้านเรือน เรื่องราวบานปลายจนเจ้าหน้าที่ต้องยิงแก๊สน้ำตา และใช้กระสุนยางสลายการชุมนุม มีผู้ถูกจับกุมเพราะทำลายทรัพย์สินสาธารณะกว่าร้อยคนทั่วประเทศ
- กระทรวงยุติธรรมสหรัฐฯ มีคำสั่งให้คณะอัยการของรัฐมินนิโซตารวบรวมข้อมูลเพื่อไต่สวนว่าจะดำเนินคดีผู้เกี่ยวข้องกับการตายของฟลอยด์หรือไม่
- สำนักงานตำรวจในมินนิโซตาและรัฐอื่นๆ ระบุว่าจะพิจารณาทบทวนกฎเกณฑ์ในการปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ โดยอาจจะยกเลิกการใช้วิธีกดเข่าหลังต้นคอผู้ต้องสงสัยที่ไม่ได้ขัดขืนการจับกุม ขณะที่นักอาชญวิทยาระบุว่า ท่าดังกล่าวมีผลต่อหัวใจและระบบทางเดินหายใจของผู้ถูกจับกุม ส่วนฟลอยด์นั้นเสียชีวิตเพราะหัวใจล้มเหลว
- ครอบครัวของฟลอยด์เรียกร้องให้มีการดำเนินคดีตำรวจผู้จับกุมฟลอยด์ในข้อหา 'ฆาตกรรม'
- 31 พฤษภาคม - กระแสประท้วงได้กระจายไปทั่วโลก ผู้คนนับพันนับหมื่นรวมใจเป็นหนึ่งเดียวเพื่อ จอร์จ ฟลอยด์ ตั้งแต่ที่ ไอร์แลนด์ อิตาลี อังกฤษ เดนมาร์ก นิวซีแลนด์ แคนาดา เยอรมนี โปแลนด์ กรีก เนเธอร์แลนด์ และอิหร่าน โดยผู้ประท้วงนับพันบุกไปยืนถือป้ายหน้าสถานทูตสหรัฐฯ ร้องตะโกนว่า "I Can't Breathe"
- 1 มิถุนายน การประท้วงขยายวงกว้างและคุกรุ่นมากกว่าเดิม แม้ส่วนใหญ่เป็นการประท้วงโดยสงบ แต่ก็เกิดการก่อจลาจลในหลายพื้นที่ ผู้ประท้วงอย่างน้อย 7 ราย ถูกเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงเสียชีวิต โดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศสนับสนุนการประท้วงอย่างสงบ แต่ประณามผู้ประท้วงที่ก่อจลาจล กล่าวว่าการกระทำของม็อบเหล่านี้คือ "การก่อการร้าย" พร้อมประกาศตัวเองว่าเป็น Law & Order (การรักษากฎหมายและความสงบเรียบร้อย) และพร้อมบังคับใช้การปราบปรามอาชญกรรมอย่างเข้มงวด
- คนดังจำนวนมาก ได้เข้าร่วมการประท้วงด้วยตนเอง อาทิ เจมี่ ฟ็อกซ์ (Jamie Foxx) อารีอานา กรานเด (Ariana Grande) ฮาลซีย์ (Halsey) ไมเคิล บี. จอร์แดน (Michael B. Jordan) ทิโมธี ชาลาเมต์ (Timothe Chalamet) และอีกมากมาย
- 2 มิถุนายน อีกด้านหนึ่ง "เคลลี ชอวิน" (Kellie Chauvin) ซึ่งเป็นภรรยาของนายตำรวจผู้ก่อเหตุ ได้ยื่นเรื่องต่อศาลเพื่อขอหย่าขาดจากสามี ยืนยันว่าจะไม่ขอรับเงินอีกฝ่ายแต่ขอให้ศาลอนุญาตให้ตนเปลี่ยนนามสกุลได้เพื่อจะได้ไม่ต้องใช้นามสกุลอดีตสามีอีกต่อไป โดยตัวแทนด้านกฎหมายของเคลลีเผยว่า เคลลี่เสียใจต่อการตายของฟรอยด์เป็นอย่างมาก และขอแสดงความเสียใจอย่างสุดซึ้งไปยังครอบครัวของเขาด้วย พร้อมระบุว่า ก่อนหน้านี้เคลลี่คิดที่จะหย่าอยู่แล้ว เมื่อเกิดเรื่องสุดสลดนี้ขึ้นจึงตัดสินใจเดินเรื่องหย่า
- 3 มิถุนายน นายกเทศมนตรีนครนิวยอร์กซิตี สหรัฐฯ ประกาศขยายเคอร์ฟิว ไปจนถึงวันอาทิตย์ เพื่อหวังควบคุมเหตุการณ์ประท้วงกรณี จอร์จ ฟลอยด์ แต่ผู้ประท้วงเดินหน้าชุมนุมไม่สนเวลาเคอร์ฟิว การประท้วงทำให้ถนนหลายสายถูกปิด และมีเฮลิคอปเตอร์บินอยู่เหนือพื้นที่ซึ่งประชาชนรวมตัวกัน
- 4 มิถุนายน เดเร็ค เชาวิน อดีตตำรวจผู้ใช้เข่ากดคอของ จอร์จ ฟลอยด์ จนเสียชีวิต โดนตั้งข้อหาหนักขึ้นแล้ว ยกระดับเป็นคดีฆาตกรรมระดับ2 (หมายถึงการฆาตกรรมโดยไม่ได้วางแผนล่วงหน้า หรือการฆาตกรรมด้วยพฤติกรรมหุนหันพลันแล่น ปราศจากความห่วงใยต่อชีวิตมนุษย์อย่างเห็นได้ชัด) ขณะที่ตำรวจอีก 3 นายที่อยู่ในเหตุการณ์ ก็ถูกตั้งข้อหาช่วยเหลือและสนับสนุนการฆาตกรรมด้วยเช่นกัน
ณ ตอนนี้การประท้วงยังคงดำเนินต่อต้องติดตามว่าจะจบอย่างไร มีทั้งผู้คนที่ออกมาประท้วงอย่างสันติ มาด้วยอุดมการณ์ มาด้วยความตั้งใจที่อยากจะให้ปัญหาเรื่องหมดไปจริงๆ แต่ก็มีหลายๆคนที่ใช้โอกาสนี้ในการปล้น ขโมยสิ่งของต่างๆจากการประท้วง สร้างเหตุการณ์ทวีความรุนแรงขึ้นทุกวัน ทั้งๆที่เป้าหมายจริงๆของการประท้วงคือไม่อยากให้ใช้ความรุนแรงเกินกว่าเหตุ
ความคิดของผม ถ้ายุติความรุนแรงด้วยความรุนแรง เปลี่ยนจากฝ่ายถูกกระทำมาเป็นฝ่ายกระทำ ปัญหานี้ก็จะยังคงอยู่เหมือนเดิมไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง อยู่กับทุกคน ทุกเพศ ทุกเชื้อชาติ ...ทุกสีผิว
Comments