ควรเปลี่ยนหรือยัง? 5 สัญญาณเตือนและการตรวจเช็คยาง - Mixmaya.Com
  • Home
  • auto
  • ควรเปลี่ยนหรือยัง? 5 สัญญาณเตือนและการตรวจเช็คยาง
ควรเปลี่ยนหรือยัง? 5 สัญญาณเตือนและการตรวจเช็คยาง

ควรเปลี่ยนหรือยัง? 5 สัญญาณเตือนและการตรวจเช็คยาง

หากพูดถึงชิ้นส่วนสำคัญที่ทำให้รถยึดเกาะกับพื้นถนน ก็คงจะเป็น “ยางรถยนต์” นั่นเอง เพราะถือเป็นชิ้นส่วนเดียวของรถที่สัมผัสกับผิวถนน ทั้งการเบรก, การเกาะถนน, การควบคุม, การบังคับเลี้ยว, ความนุ่มสบาย 

จากข้อมูลของยางบริดสโตนได้บอกหน้าที่ของยางรถยนต์เป็นของสำคัญมากที่สุดและมีหน้าที่ คือ

1. รับน้ำหนักรถและน้ำหนักบรรทุก รถยนต์ 1 คัน จะหนักประมาณ 1.6 ตัน หรือเทียบเท่ากับคน 32 คน ซึ่งความดันลมในยางจะเป็นตัวช่วยในการรับน้ำหนักรถและน้ำหนักบรรทุกเหล่านี้ไว้ทั้งหมด

2. ลดแรงกระแทกและการสั่นสะเทือนจากพื้นถนน ลมในยาง จะทำหน้าที่เหมือนปริงช่วยลดแรงกระแทกและการสั่นสะเทือนจากพื้นถนนในขณะขับขี่

3. เป็นส่วนหนึ่งในการเปลี่ยนทิศทางการขับขี่ ในการหมุนพวงมาลัยจะทำให้ยางล้อหน้าหมุน จึงทำให้รถสามารถมุ่งไปในทิศทางที่ต้องการได้

4. เป็นตัวกลางในการขับเคลื่อนและหยุดรถ ยางจะเป็นตัวกลางถ่ายทอดพลังการขับเคลื่อน และการหยุดรถลงสู่พื้นผิวถนน ทำให้รถสามารถเคลื่อนตัวหรือหยุดรถได้

ขอขอบคุณรูปภาพจาก : bridgestone

แต่ทั้งหมดที่ว่ามา..... ยางสัมผัสถนนเพียงนิดเดียวเท่านั้น! ยางรถยนต์ไม่ว่าจะรุ่นใดเมื่อลงพื้นแล้วจะมีผิวหน้ายางที่สัมผัสกับพื้นถนนจริงๆ เพียง "ฝ่ามือ" เท่านั้น ดังนั้นการเลือกใช้ยางให้เหมาะสมและหมั่นตรวจเช็คสภาพต่าง ๆ ของยาง จึงมีความสำคัญ

สัญญาณเตือน ควรเปลี่ยนยางด่วน!

 

1. สภาพดอกยาง

อย่างที่ทราบกันว่า ดอกยางรถยนต์มีคุณสมบัติในการช่วยรีดน้ำเวลาที่เราต้องขับรถบนถนนที่เปียกหรือมีน้ำขัง เพื่อช่วยให้ผิวหน้าของยางรถยนต์ยังเกาะถนนได้ปกติ แต่หากดอกยางเหลือน้อยก็มีโอกาสสูงที่รถจะเสียหลักลื่นไถลได้ โดยปกติดอกยางใหม่จะลึกประมาณ 8-9 มิลลิเมตร แต่ถ้าดอกยางเหลือไม่ถึง 3 มิลลิเมตรแล้ว ควรรีบเปลี่ยนยางรถยนต์ทันที จะสังเกตด้วยตาเปล่าก็ได้ หรือตรวจสอบโดยใช้ไม้ขีดไฟทิ่มลงไปในร่องยางรถยนต์ ถ้ายังเห็นหัวไม้ขีดสีแดง แสดงว่าดอกยางเหลือน้อยเกินกว่าที่จะใช้งานต่อไป

2. แก้มยางมีรอยแตก หรือแยกส่วน

ไม่ใช่เพียงดอกยางเท่านั้นที่บ่งบอกสัญญาณเตือนว่าเราควรเปลี่ยนยางรถ เนื้อยางหรือแก้มยางรถยนต์ก็บอกสัญญาณได้เช่นกัน หากคุณเห็นว่าแก้มยางมีรอยปริ รอยแตกหรือรอยร้าวเป็นเส้นๆ ละก็ ขอบอกเลยว่ารีบไปเปลี่ยนยางรถยนต์โดยด่วน ไม่เช่นนั้นอาจเกิดยางระเบิด หรือยางแตกได้ขณะขับรถด้วยความเร็วสูง

3. ยางบวม

ถ้าแก้มยางไม่มีรอยแตก รอยร้าว แต่ว่ามีอาการยางบวม ปูดขึ้นมาจนเห็นได้ชัด ก็เป็นอีกหนึ่งสัญญาณว่าควรเปลี่ยนยางรถยนต์ด้วยเช่นกัน โดยอาการยางบวมนั้นมักมาจากการขับรถเสียดสีอย่างรุนแรง อาจเป็นการชนขอบฟุตบาท หรือขับรถตกหลุม หรือยางที่ใช้ไม่มีประสิทธิภาพ ซึ่งหากขับรถไปทั้งที่ยางบวม ก็อาจเกิดอันตราย ยางระเบิด หรือยางแตกกลางทางได้ หรือหากแตะเนื้อยางแล้วพบว่ายางแข็ง คือจิกเล็บลงไปไม่เห็นรอย แสดงว่าหน้ายางหมดอายุ ก็ต้องรีบเปลี่ยนยางเช่นกัน

4. ตำแหน่งรั่วของยาง

หลายคนมักใช้วิธีปะยางแทนการเปลี่ยนยาง เวลาที่ยางรถยนต์รั่ว หรือยางแบน เพราะคิดว่าประหยัดเงินมากกว่า แต่การปะยางนั้น ควรทำกับยางรถยนต์ที่มีรอยรั่วเล็กๆ ไม่เกิน 0.6 มิลลิเมตร หรือมีขนาดไม่เกิน 1 ใน 4 นิ้ว และต้องเกิดขึ้นบนหน้ายางเท่านั้น โดยตำแหน่งการรั่วของยางต้องไม่กระทบกับโครงสร้างยางภายใน หรือไม่ควรปะยางบริเวณแก้มหรือขอบยาง เพราะวัสดุที่นำมาใช้ปะยางนั้นไม่แข็งแรงพอที่จะสามารถยึดเหนี่ยวได้ หากใช้ยางต่อไป อาจเกิดยางระเบิด หรือยางแตกได้ในที่สุด

5. อายุยางรถยนต์

ขอขอบคุณรูปภาพจาก : Autospinn

โดยปกติยางรถยนต์จะมีอายุการใช้งานประมาณ 4-5 ปี เมื่อใช้งานจนครบกำหนดก็ควรเปลี่ยนยางเส้นใหม่ได้แล้ว แม้ยางรถยนต์ที่ใช้จะไม่มีสัญญาณเตือนดังข้อที่กล่าวมาก็ตาม เพราะยางรถยนต์จะค่อยๆ เสื่อมสภาพไปตามเวลาและการใช้งาน หากใช้ไปเรื่อยๆ อาจเกิดอุบัติเหตุขึ้นได้ โดยวิธีดูอายุยางรถยนต์นั้นสามารถดูได้ที่หน้ายางรถยนต์ จะเห็นตัวเลข 4 หลักบนแก้มยาง โดยเลขสองตัวแรก คือสัปดาห์ที่ผลิตยางรถยนต์ ส่วนเลขสองตัวหลัง คือปีที่ผลิตยางรถยนต์ เช่นเลข 1519 หมายถึง ยางรถยนต์เส้นนี้ถูกผลิตขึ้นในสัปดาห์ที่ 15 ปี 2019 นั่นเอง

เมื่อผู้อ่านพบเห็นสัญญาณดังกล่าวนี้ แนะนำว่าควรรีบเปลี่ยนยางโดยด่วนเพราะถ้ายังฝืนใช้งานต่อไปเรื่อยๆ อาจเสี่ยงต่อการเกิดอุบัติเหตุได้ครับ

Comments

auto

VDO Update

Merigin

Related Post