
ขึ้นชื่อว่านักฟุตบอลนั้น แน่นอนว่าหากคุณทำผลงานได้ดี สิ่งที่จะตามเข้ามามีทั้ง ชื่อเสียง เกียรติยศ เงินทอง ความมั่งคั่งต่างๆ แต่อย่างไรก็ตามสิ่งที่คุณเห็น จะต้องแลกมาด้วยการฝึกซ้อมอย่างมหาศาล พร้อมทั้งแบกรับความกดดันไว้มากมาย วันนี้เราจะพามารู้จักกับ นักฟุตบอลที่ได้รับการยอมรับว่ามีฝีเท้าขั้นสูงแต่ก็ต้องปิดฉากการค้าแข้งก่อนวัยอันควร
อันเดร เชอร์เล่ ประกาศแขวนสตั๊ดในวัย 29 ปี เมื่อวันที่ 17 กรกฏาคม 2563 ที่ผ่านมา หลังยกเลิกสัญญากับต้นสังกัดปัจจุบันอย่าง โบรุสเซีย ดอร์ทมุน
เชอร์เล่ ย้ายจาก โวล์ฟสบวร์ก มาอยู่กับ ดอร์ทมุนด์ เมื่อปี 2016 แต่ไม่สามารถยึดตัวจริง และเกมสุดท้ายที่เจ้าตัวลงเล่นให้กับ "เสือเหลือง" ต้องย้อนกลับไปในช่วงเดือนพฤษภาคม ปี 2018 เลยทีเดียว เนื่องจากตลอดช่วงสองฤดูกาลที่ผ่านมา ถูกปล่อยให้ ฟูแล่ม (2018/19) และ สปาร์ตัก มอสโก (2019/20) ยืมตัวใช้งาน
เชอร์เล่ เผยผ่าน สปีเกิล สื่อเยอรมันว่า "ความลึกยิ่งลึกมากขึ้น และแสงก็สาดส่องน้อยลงน้อยลง การตัดสินใจอยู่กับผมมานานแล้ว มันมีเพียงแค่ผลงานในสนามที่ถูกนับ ขณะที่ความอ่อนแอและจุดอ่อนไม่เคยหายไปคุณต้องเล่นอยู่ในบทบาทหนึ่งเสมอเพื่ออยู่รอดในธุรกิจนี้ มิเช่นนั้นคุณจะเสียงานของตัวเอง และจะไม่ได้งานใหม่"
เชอร์เล่ ลงรับใช้ทีมชาติ 57 นัด ทำได้ 22 ประตู แม้จะได้รับหน้าที่เป็นตัวสำรอง แต่ทุกครั้งที่ลงสนามเข้าก็แสดงให้เห็นถึงความทุ่มเท และเชอร์เล่ ก็เป็นคนส่งให้ มาริโอ เกิทเซ่ ทำประตูชัยในศึกฟุตบอลโลก 2014
เอริค คันโตน่า หากจะถามถึงความยิ่งใหญ่ของ เอริค " เดอะคิง " คันโตน่า จากปากของแฟนปีศาจแดงแล้วล่ะก็ บอกได้เลยว่าแฟน ๆ ทั้งรุ่นเล็ก รุ่นใหญ่ ต่างก็ต้องรู้จักดี เอริค ในเสื้อหมายเลข 7 พร้อมคอเสื้อตั้งขึ้นสุดเท่
ภายหลังจากเหตุการณ์ช๊อคโลกที่ เอริค คันโตน่า ได้กระโดดถีบ แมทธิว ซิมม่อนส์ แฟนบอลคริสตัล พาเลซ ที่ตะโกนด่าด้วยคำหยาบคาย ทำให้เอริค สติหลุดถึงกับวิ่งข้ามแผงโฆษณาเข้าไปกระโดดกังฟูคิ๊ก พร้อมทั้งระดมหมัดเข้าใส่ จนการ์ดต้องมาจับแยกทั้งคู่ จากเหตุการณ์ดังกล่าวทำให้เอริค คันโตน่า ถูกตัดสินแบน 9 เดือนเต็ม และต้องบำเพ็ญสาธารณะประโยชน์อีก 120 ชั่วโมง พร้อมทั้งถูกปรับเงินอีก 1หมื่นปอนด์ ส่วนตัวต้นเหตุอย่าง แมทธิว ซิมม่อนส์ ถูกจำคุก 7 วัน ปรับ 500 ปอนด์ และถูกแบนห้ามเข้าสนามหนึ่งปีในอังกฤษและเวลส์ จากข้อหาใช้ภาษาและพฤติกรรมรุนแรง
หลังเหตุการณ์นี้ ได้มีนักข่าวรอถามคำถามกับ เอริค และเจ้าตัวก็ได้ลั่นวลีสุดคลาสสิคในโลกของลูกหนังออกมา "เมื่อใดก็ตามที่นกนางนวลบินตามชาวประมง นั่นก็เพราะพวกมันคิดว่าจะมีปลาซาร์ดีนมากมายถูกโยนลงสู่ทะเล"
เอริค คันโตน่า ประกาศช๊อคแฟนบอล ว่าเจ้าตัวแขวนสตั๊ดแล้ว ในวัยที่เพิ่งจะ 30 ปี เท่านั้นเอง สร้างความประหลาดใจและเสียใจให้กับแฟนๆอย่างมาก คันโตน่าได้ให้สัมภาษณ์อีกครั้งโดยได้กล่าวว่า ผมภูมิใจที่แฟน ๆ ยังคงร้องเรียกชื่อผม แต่ผมกลัวว่าพรุ่งนี้พวกเขาอาจจะไม่ทำเช่นนั้น ผมกลัวเพราะผมรักมัน และทุก ๆ สิ่งที่คุณรัก คุณก็ต้องกลัวที่จะเสียมันไป คำพูดนี้ได้ถูกนำมาประกอบลงไปในวอลเปเปอร์ของสโมสรที่ให้แฟน ๆ ในเว็บไซต์ของสโมสร
เซบาสเตียน ไดส์เลอร์
เซบาสเตียน ไดส์เลอร์ เพลย์เมกเกอร์ตัวกลั่น ของ “เสือใต้” บาเยิร์น มิวนิค สโมสรยักษ์ใหญ่แห่งศึกบุนเดสลีกา เยอรมัน ประกาศแขวนสตั๊ดเลิกเล่นฟุตบอลอาชีพ ในขณะที่มี เพียงอายุแค่เพียง 27 ปี เท่านั้น ตามรายงานข่าว เมื่อวันอังคารที่ 16 ม.ค. 2007
ไดส์เลอร์ ถูกยกย่องให้เป็นเพชรเม็ดงามของวงการฟุตบอลเยอรมัน โดยเริ่มฉายแสงกับทีม โบรุสเซีย มึนเช่น กลัดบั๊ค ก่อนจะมาโชว์ฟอร์มระเบิดกับ แฮธ่า เบอร์ลิน โดยเจ้าตัวโชว์พรสวรรค์อย่างเพรียบพร้อม ไม่ว่าจะเป็นการเปิดบอลที่แม่นยำ การสั่งการเพื่อนร่วมทีม รวมทั้งยังมีการยิงฟรีคิ๊กที่ไว้ใจได้อีกด้วย
แต่ถึงกระนั้น สิ่งที่ยอดนักเตะดาวรุ่งคนนี้ต้องเผชิญก็คือ อาการบาดเจ็บเรื้อรัง แม้จะได้ลงเล่นไม่สม่ำเสมอแต่ด้วยฟอร์มอันโดดเด่นทุกครั้งที่ได้ลงสนาม เจ้าตัวก็ถูกเรียกติดทีมชาติชุดลุย ยูโร 2000 แต่ทีมชาติกลับทำผลงานได้ไม่ค่อยดีต้องตกรอบแรกไป
อาการบาดเจ็บยังคงตาม ไดส์เลอร์อย่างไม่หยุดหย่อน จนเจ้าตัวต้องพลาดฟุตบอลโลกปี 2002 ด้วยอาการบาดเจ็บที่หัวเข่าอย่างรุนแรง แต่ชีวิตการค้าแข้งของเขาก็ยังเดินต่อไป เมื่อได้รับโอกาสร่วมทีมกับยักษ์ใหญ่ บาเยิร์น มิวนิค แน่นอนว่า การจะคว้ารางวัลต่างๆช่างดูง่ายดาย แต่สำหรับนักฟุตบอล การได้ลงเล่นคือสิ่งที่พวกเขาปราถนา ไดส์เลอร์ยังคงถูกอาการบาดเจ็บบริเวณหัวเข่าที่เหมือนถูกสาปไว้ให้ต้องได้รับบาดเจ็บรุนแรงเสมอ จนสภาพจิตใจของเขานั้นเริ่มแย่ ถึงขนาดว่าต้องเข้ารับการบำบัดกับจิตแพทย์อยู่นาน กว่าจะกลับมาใช้ชีวิตได้อีกครั้ง
หลังผ่านการบำบัด และกำลังใจจากแฟนๆรอบข้าง ไดส์เลอร์กลับมาลงเล่นและทำผลงานได้ดีอีกครั้ง แต่แล้วดั่งที่เคยบอกไว้ว่า เหมือนจะเป็นคำสาป ไดส์เลอร์ที่กำลังจะได้ลงเล่นในฟุตบอลโลกปี 2006 ที่เยอรมนีเป็นเจ้าภาพ กลับได้รับบาดเจ็บบริเวณหัวเข่าอย่างรุนแรงอีกครั้ง การบาดเจ็บครั้งนี้สร้างบาดแผลทั้งร่างกาย และในจิตใจของไดส์เลอร์ และในวันที่ 16 มกราคม ปี 2007 เซบาสเตียน ไดส์เลอร์ ยอดดาวรุ่งของทีมชาติ เยอรมนี ก็ได้ประกาศแขวนสตั๊ด ในวัยเพียง 27 ปี พร้อมให้เหตุผลว่า " ผมไม่มั่นใจว่าจะสามารถกลับมาเล่นฟุตบอลอาชีพได้อีกครั้ง "
ฟาบริซ มูเอมบ้า
ฟาบริซ มูอัมบ้า เขาเกิดเมื่อวันที่ 6 เมษายน ค.ศ.1988 ที่เมืองกินชาซา ประเทศซาอีร์ หรือสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโกในปัจจุบัน เมื่อมูอัมบ้าอายุ 11 ขวบ ก็อพยพมาอยู่ที่เกาะอังกฤษ แล้วได้เซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอลในทีมเยาวชนของอาร์เซน่อล เมื่อปี 2002 ก่อนที่จะเซ็นสัญญาเป็นนักฟุตบอลอาชีพกับสโมสรในปี 2005 และได้ลงเล่นเกมแรกในสีเสื้ออาร์เซน่อลในฟุตบอลลีก คัพ ที่ออกไปเยือนซันเดอร์แลนด์ ปี 2005
ในปี 2006 มูอัมบ้า ได้ย้ายจากอาร์เซน่อล ไปเบอร์มิงแฮม ซิตี้ ด้วยสัญญายืมตัว 1 ปี และทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยม ในตำแหน่งกองกลาง ซึ่งจบในฤดูกาลนั้น แฟนบอลเบอร์มิงแฮมต่างโหวตให้ มูอัมบ้า เป็นผู้เล่นดาวรุ่งยอดเยี่ยมของสโมสร ด้วยผลงานที่ยอดเยี่ยม มูอัมบ้าก็ย้ายจากอาร์เซน่อลมาอยู่ที่เบอร์มิงแฮม เป็นการถาวร ด้วยค่าตัว 4 ล้านปอนด์ ในปี 2007 แต่ก็อยู่เบอร์มิงแฮมได้ฤดูกาลเดียว ก็ย้ายมาโบลตันในปี 2008 ค่าตัว 5 ล้านปอนด์ หลังจากเบอร์มิงแฮมตกชั้นจากพรีเมียร์ลีก และในปี 2010 มูอัมบ้า ก็ยังคงเล่นได้อย่างยอดเยี่ยมจนทำให้ถูกหนังสือพิมพ์ โบลตัน นิวส์ เลือกให้เป็นผู้เล่นยอดเยี่ยมประจำฤดูกาลของสโมสร
ในการแข่งขันฟุตบอลเอฟเอ คัพ รอบ 8 ทีมสุดท้าย ระหว่างท็อตแน่ม ฮ็อต สเปอร์ กับ โบลตัน วันเดอร์เรอร์ส ขณะที่เกมการแข่งขันดำเนินไปถึงนาทีที่ 41 คนทั้งสนาม ไวท์ ฮาร์ท เลน ก็ต้องถึงคราวช็อก เมื่ออยู่ดี ๆ ฟาบริซ มูอัมบ้า กองกลางของโบลตัน ก็ล้มวูบลงกลางสนาม ทั้งที่ไม่ได้มีส่วนร่วมกับเกมใด ๆ โดยทางทีมแพทย์โบลตัน ต่างวิ่งกรูเข้ามารักษา ขณะที่สีหน้าของนักเตะทั้งสองทีม รวมถึงแฟนบอล ต่างมีสีหน้าไม่สู้ดีนัก บางคนถึงขั้นร้องไห้ เพราะเหตุการณ์แบบนี้ได้เกิดขึ้นอีกครั้ง นั่นคือ "โรคหัวใจล้มเหลวเฉียบพลัน" ซึ่งมันเคยคร่าชีวิต มาร์ค วิเวียง โฟเอ้ ดาวเตะแคเมอรูน, มิคลอส เฟเฮอร์ กองหน้าเบนฟิก้า ทีมดังจากโปรตุเกส และอันโตนิโอ ปูเอร์ต้า นักเตะของเซบีย่า ทีมจากสเปน กลางสนามมาแล้ว
มูอัมบ้า ตัดสินใจแขวนสตั๊ดทางการในวัยเพียง 24 ปี หลังจากเกิดอาการหัวใจวายกระทันหัน ระหว่างการแข่งขันฟุตบอลเอฟเอ คัพ ซึ่งทำให้เขาหยุดหายใจไปกว่า 78 นาที ก่อนที่จะสร้างปฏิหาริย์ โกงความตายกลับมาฟื้นคืนชีพได้อีกครั้ง
โรเบิร์ต เอ็งเค่
คนสุดท้ายในวันนี้ ขอย้อนรำลึกถึงยอดผู้รักษาประตูแห่งยุค ที่ฝากผลงานไว้มากมาย ช่วงการเริ่มต้นอาชีพฟุตบอลของ เอ็งเค่ ไปเร็วอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะส่วนใหญ่แล้วผู้รักษาประตูนั้น มักเป็นตำแหน่งที่จะใช้คนที่มีอายุเยอะ มีประสบการณ์ และความนิ่งเป็นตัวเลือกอันดับแรก ทว่ากับเอ็งเค่ พออายุได้ 17 ปี เขาได้ออกสตาร์ทเป็นตัวจริงกับ เยน่า เเล้ว และชื่อเสียงของโกลเด็กเทพจากเยอรมันตะวันออกก็ดังไปไกล สุดท้ายเขาถูกทีมดังจากฝั่งตะวันตกอย่าง โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค ดึงตัวไปร่วมทีม
และจากนั้นมันก็เป็นการเดินทางที่เหนือความคาดหมายของเด็กหลังกำแพงเบอร์ลิน เพราะ เอ็งเค่ ได้ออกไปค้าแข้งยังต่างเเดนกับ เบนฟิก้า และภายใต้การผลักดันของกุนซือคนบ้านเดียวกันอย่าง จุ๊ปป์ ไฮย์เกส เอ็งเค่ กลายเป็นประตูดาวรุ่งที่ดังที่สุดแห่งยุคคนหนึ่งจนถึงขั้นที่ แมนฯ ยูไนเต็ด ในยุค เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน คิดจะดึงตัวมาร่วมทีมเลยทีเดียว
ชีวิตของ เอ็งเค่ ควรจะเป็นขาขึ้นหลังจากนั้น ทว่าความจริงเเล้วอาชีพนักฟุตบอลอะไรมันก็ไม่แน่นอน สถานการณ์ที่เหมือนเดินเหยียบอยู่บนก้อนเมฆ อาจจะเปลี่ยนเป็นเดินลงเหวได้ในระยะเวลาอันสั้นหากไม่ระวังแต่ละก้าวของตัวเองให้ดีๆ ซึ่งเอ็งเค่ ก้าวพลาดและร่วงลงไปในเหวที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกฟุตบอล และเหวแห่งนั้นชื่อว่า "บาร์เซโลน่า"
บาร์ซ่า ในยุคนั้นคุมทีมโดย หลุยส์ ฟาน กัล ขณะที่ เอ็งเค่ ย้ายเข้าไปได้ไม่นาน เขารู้สึกทันทีว่า นี่อาจจะไม่ใช่การตัดสินใจที่ถูกต้องนัก เพราะปรัชญาของ บาร์เซโลน่า ทุกคนต้องออกบอลด้วยเท้าได้ดี มีทักษะด้านฟุตบอลที่ยอดเยี่ยมไม่เว้นแม้แต่ผู้รักษาประตู
ตัวของ เอ็งเค่ เองนั้นเป็นประตูสไตล์โบราณ มีอารมณ์ร่วมกับเกมสูง ใช้ความดุดันและเน้นไปที่ลูกเซฟมากกว่า ดังนั้นในช่วงเวลากับบาร์เซโลน่า จึงถือเป็นช่วงที่ชีวิตนักฟุตบอลสะดุด เขาตกเป็นมือ 3 ของทีม รองจาก โรแบร์โต้ โบนาโญ่ ที่เป็นมือ 1 ขณะที่มือ 2 ในเวลานั้นคือเด็กถิ่นอย่าง บิคตอร์ บัลเดส
เล่นยังไงก็ไม่ไหว ปรับอย่างไรมันก็ไม่ใช่ตัวเอง ครั้งหนึ่งเขาเคยบอกว่าเกิดมาทั้งชีวิตก็เพิ่งจะรู้ว่าการเป็นผู้รักษาประตูนั้นมันยากขนาดนี้ โดยเฉพาะที่ บาร์เซโลน่า นั้นถือว่าเป็นทีมที่ยากที่สุดในโลกสำหรับผู้รักษาประตูเลยทีเดียว ซึ่งมันก็เป็นอย่างที่เขาว่าเพราะเขาได้เล่นให้บาร์ซ่า กับเกมเล็กๆในฟุตบอลถ้วย ส่วนเกมลาลีกา เจ้าตัวได้เล่นเพียง 20 นาทีเท่านั้น ก่อนถูกปล่อยยืมให้ เฟเนร์บาห์เช่ ในตุรกี รวมถึง เตเนริเฟ่ ทีมในลีกรองของสเปน
การเป็นคนทะเยอทะยาน และโดนเบรกกะทันหันจากเป้าหมายที่เล็งไว้ถึงทีมชาติเยอรมัน กลับกลายเป็นว่าตอนนี้ เอ็งเค่ เริ่มพบกับอาการจิตตก สภาพจิตใจของเขาเหม่อลอย คิดเสมอว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่ แต่ก็ยังหลอกตัวเองว่าเขายังสามารถประสบความสำเร็จที่ บาร์เซโลน่า ได้ มันคือความมั่นใจของคนหนุ่มวัย 25 ปี ที่มีหัวใจที่พร้อมจะเอาชนะทุกอย่างได้ จนลืมสำรวจเข้าไปในความคิดของตัวเองว่า "อะไรคือความจริงที่เกิดขึ้น"
"ดูเหมือน เอ็งเค่ จะกลายเป็นคนที่ต้องรับผิดชอบทั้งหมดเวลาเกิดเรื่องแย่ๆ ขณะที่เขาเฝ้าเสา" บิคตอร์ บัลเดส หนึ่งในคนที่แจ้งเกิดเหนือเอ็งเค่ อธิบายถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับนายทวารชาวเยอรมันในช่วงเวลาที่บาร์เซโลน่า
ในยุคสิบกว่าปีก่อน เรื่องของโรคซึมเศร้ายังไม่ได้พูดถึงเป็นวงกว้างและยังไม่มีความเข้าใจผู้ป่วยมากนัก แต่คนที่รับรู้ได้ถึงความผิดปกติก็คือ เดิร์ก เอ็งเค่ พ่อของ โรเบิร์ต เอ็งเค่ เขามีอาชีพนักจิตวิทยาทางด้านกีฬาโดยเฉพาะ ดังนั้นเเว่บแรกที่เขาเห็นลูกชายเขาก็รู้เเล้วว่า โรเบิร์ต ต้องการคำแนะนำและการช่วยเหลือ มากกว่าการแค่ตบบ่าและให้กำลังใจจากเพื่อนร่วมทีม
"โรเบิร์ต กลัวว่าเขาจะกลายเป็นคนที่ไม่ได้เรื่อง เขาไม่เชื่อมั่นในตัวเองเลย (ในช่วงกับ บาร์ซ่า) ความคิดของเขาถูกขังไว้ในกรงแห่งความทะเยอทะยาน" เดิร์ก ผู้เป็นพ่อเล่า
"ในช่วงเวลาที่สำคัญกับเขามากที่สุด โรเบิร์ต กลายเป็นคนกลัวลูกฟุตบอล เขากลัวว่าจะมีใครมายิงมันผ่านเขาไป ทุกๆ เช้าเขาจะเจอสิ่งรบกวนใจและผวาทุกครั้งที่บอลเข้าประตู เขาไม่กล้าแม้จะจินตนาการเลยด้วยซ้ำไป เขาถามผมว่าพ่อจะโกรธผมไหม ถ้าผมอยากจะเลิกเล่นฟุตบอล ผมก็บอกว่า ‘มันไม่ใช่เรื่องสำคัญเลยไอ้ลูกชาย แม้แต่พระเจ้าก็ไม่ว่าลูกหรอก’"
เอ็งเค่ เริ่มขาดซ้อม ไม่ใช่เพราะไร้วินัยแต่ เพราะกลัวจนเกินไปอย่างที่พ่อของเขาว่า และด้วยความที่พ่อของเขาเป็นคนที่เชี่ยวชาญเรื่องนี้ เขารู้ทันทีว่าสภาพจิตใจแบบนี้ต้องได้รับการเยียวยาอย่างเร่งด่วน
เดิร์ก พยายามจะช่วยลูกชายอย่างเต็มที่ด้วยการให้เขาเลิกเล่นเสียและออกมารักษาตัวอย่างจริงจัง แต่ด้วยเหตุใดไม่ทราบได้ เอ็งเค่ บอกว่าเขาจะยังไม่เลิกเล่น และไม่ต้องการที่จะเข้าพบจิตเเพทย์แบบเปิดเผย เพราะหากสโมสรต่างๆ รู้ว่า ผู้รักษาประตูคนนี้เป็นผู้ป่วยจิตเวช ไม่แคล้วเขาคงจะไม่มีโอกาสได้เล่นฟุตบอลอีกต่อไป
"เขาเฉียดคลินิกจิตเวชบ่อยมาก แต่พอเข้าใกล้เขาก็บอกว่า ‘อาชีพของเขาจบเห่แน่ถ้าเดินเข้าไปที่นั่น ฟุตบอลเป็นสิ่งเดียวที่ผมทำได้ดีและมีอารมณ์ร่วมกับมัน’" แม้จะอยากช่วยแค่ไหนแต่ เดิร์ก ก็ทำได้แค่แนะนำ โรเบิร์ต ไม่ต้องการหาหมอและเชื่อว่าการเป็นนักฟุตบอลต่อไปมันยังดีกว่าแน่…”
หลังจากนั้น เอ็งเค่ ได้ย้ายกลับมาค้าแข้งในบ้านเกิดกับ ฮันโนเวอร์ และเริ่มต้นชีวิตใหม่ในสภาพแวดล้อมใหม่ๆ ทุกอย่างทำท่าจะดีขึ้น และ เทเรซ่า แฟนสาว ก็กำลังตั้งท้องลูกของเขา แน่นอนว่า การที่ได้รับรู้ว่าตัวเองกำลังมีลูกนั้นมันคือสิ่งที่ดีที่สุดในชีวิตของเขา เอ็งเค่เริ่มมีสภาพจิตใจที่ดีขึ้น และ ฟอร์มการเล่นในสนามก็ดีขึ้นตามไปด้วย
แต่แล้วก็เหมือนฟ้าผ่าลงกลางใจของเอ็งเค่อีกครั้ง เมื่อเทเรซ่าไปพบแพทย์ตามปกติ แต่คราวนี้แพทย์ระบุว่า เด็กจะเกิดมาพร้อมกับปัญหาด้านสุขภาพ และแพทย์แนะนำให้เธอทำหมันเสีย เอ็งเค่ ไม่ยอม เขาอยากให้ลูกเขามีชีวิตต่อไป เขาเอาใจใส่ดูแลภรรยาอย่างดี จนลูกสาวที่ขื่อ “ลอร่า” ลืมตาดูโลกออกมา แม้จะเป็นการคลอดก่อนกำหนด 3 เดือน
ลอร่า มีอาการลิ้นหัวใจรั่ว ต้องได้รับการผ่าตัดตั้งแต่แรกเกิด ทว่าการผ่าตัดส่งผลร้ายเเรงกว่าที่คาด นอกจากจะทำให้เธอต้องอยู่ในโรงพยาบาลหลายเดือนแล้ว มันยังมีผลข้างเคียงที่ทำให้หัวใจของเธออ่อนแอและที่สำคัญ คือ เธอกลายเป็นคนหูหนวก แม้หมอบอกว่าอาการหูหนวกนี้สามารถแก้ไขได้ในอนาคต แต่ต้องรอให้เธอโต และพร้อมกว่านี้ นั่นจึงทำให้ เอ็งเค่ มีกำลังใจสู้ขึ้นมาอีกเฮือก ... แต่มันเป็นเพียงเฮือกสั้นๆ เท่านั้น ลอร่า เป็นเด็กไม่แข็งแรง มีปัญหาสุขภาพมากมาย และสุดท้ายเธอก็จากพ่อของเธอไปด้วยวัยเพียงแค่ 2 ขวบเท่านั้น
"ช่วงที่เขาซึมเศร้าอย่างรุนแรง เขาคิดว่าตัวเองหมดหวังที่จะกลับมาหายเป็นปกติดังเดิม ซึ่งหลังจากที่ ลอร่า เสียชีวิตแล้ว เราต่างก็ใช้เวลาอยู่ด้วยกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้น ฉันได้แต่บอกกับเขาทุกวันว่าทุกปัญหาย่อมมีทางออก ช่วงที่ไปซ้อมกับทีมฉันก็จะขับรถไปพร้อมกับเขา อย่างน้อยก็เพื่อช่วยเขาให้ผ่านพ้นช่วงลำบากไปให้ได้ แต่เขากลับปิดกั้นตัวเอง ไม่ยอมรับความช่วยเหลือจากใครๆ เลยแม้แต่น้อย" เทเรซ่า กล่าว
หลังจากซ้อมเสร็จ เอ็งเค่ ขับรถไปที่สถานีรถไฟ Neustadt am Rübenberge ทางตะวันตกเฉียงเหนือของเมือง บรรยากาศยามเย็นในฤดูหนาวทำให้ฟ้ามืดไวกว่าปกติ สีของฟ้าบอกถึงอารมณ์ของ เอ็งเค่ ในเวลานั้น เขาลงจากรถและเดินขึ้นมาที่สถานี เพื่อหวังจะทำในสิ่งที่คิดไว้
เวลา 1 ทุ่ม เป็นเวลาที่รถไฟความเร็วสูงจะเทียบชานชาลา ทันใดนั้น เอ็งเค่ ก็กระโดดให้รถไฟที่วิ่งด้วยความเร็วมากกว่า 100 ไมล์ชนเขา แน่นอนว่าเขาเสียชีวิตในทันที ซึ่งจากการชันสูตรพลิกศพภายหลังพบว่าเป็นการ "ฆ่าตัวตาย" ... เอ็งเค่ทิ้งทุกสิ่งไว้เบื้องหลัง โดยเฉพาะ เทเรซ่า ภรรยาของเขาที่จะต้องเจ็บปวดยิ่งกว่าใคร เพราะเสียทั้งลูกและสามีไปในเวลาไล่เลี่ยกัน
การตายของ เอ็งเค่ เป็นความสูญเสียของวงการฟุตบอลเยอรมันอย่างแท้จริง ในงานศพของเขามีคนมาร่วมงานกว่า 35,000 คน ทุกคนในวันนั้นได้เห็นสภาพของ เทเรซ่า ที่ร้องไห้แบบไม่อายสายตาของใครก่อนจะฝังโลงของเอ็งเค่ คืนสู่ดิน
"เดิมทีผมเชื่อว่า ในวันที่อาชีพผู้รักษาประตูของเอ็งเค่สิ้นสุดลง เขาคงสามารถที่จะออกมาพูดคุยเรื่องราวของความเจ็บป่วยในจิตใจของเขาได้ เพราะในโลกฟุตบอลยุคนี้ที่ความสำเร็จคือทุกสิ่ง ผู้รักษาประตูที่เป็นด่านสุดท้ายไม่สามารถแสดงให้เห็นถึงจุดอ่อนได้ เขาจึงต้องสร้างความแข็งแกร่งเพื่อปกปิดความลับของโรคซึมเศร้า ปกปิดตัวเองจากความเจ็บป่วยไว้ แต่เนื่องจากเขาจากไปแล้ว ผมจึงจำเป็นต้องออกมาเล่าเรื่องนี้แทนเขาเอง" นี่คือส่วนหนึ่งที่ โรนัลด์ เรง ได้บันทึกไว้ในหนังสือ A Life Too Short – The Tragedy of Robert Enke
"ผู้รักษาประตูถูกฝึกฝนมาทั้งชีวิตเพื่อไม่ให้แสดงออกถึงความสิ้นหวัง, ความคับข้องใจ และความกลัว ความสามารถในการควบคุมสิ่งต่างๆ เหล่านี้คือสิ่งที่ช่วยให้โรเบิร์ตสามารถใช้ชีวิตในขณะที่โรคซึมเศร้าค่อยๆ กัดกินได้ แต่ของขวัญชิ้นนี้ ที่สุดแล้วก็ได้กลายเป็นชะตากรรมสู่การแสวงหาความตายของเขาเอง มันน่าเศร้าที่เขาปกปิดความตั้งใจนั้นได้เป็นอย่างดี จนที่สุดแล้วก็ไม่มีใครที่จะเข้ามาช่วยเขาได้ทันการณ์"
Rest In Peace : Robert Enke
ขอบคุณข้อมูลจาก : A Life Too Short – The Tragedy of Robert Enke
ขอบคุณข้อมูลจาก : The Standard
Comments